อึ่มมมม.... มานั่งคิดว่าจะเขียนดีมั่ยเรื่องนี้
แต่ไม่เป็นไรเนอะ เพราะอย่างน้อยก็เป็น
ความทรงจำที่ดี ๆ อยากจะเก็บเอาไว้
แล้วเรื่่องนี้จะเริ่มอย่างไรดีล่ะ?
เอาเป็นว่า ให้ลองอ่านใน facebook
ก่อนเลยดีมั่ย?
(เป็นการโต้ตอบผ่านใน facebook)
Special thanks
เพลงทุ่มอยู่ในใจ
เพลงประกอบภาพยนตร์ SuckSeed
www.suckseedthemovie.com
Source: www.youtube.com
ตั้งแต่เล็กจนโต ผมจะเรียนโรงเรียนที่เป็นผู้ชายล้วนโดยตลอด
เข้าโรงเรียนประจำตั้งแต่เด็ก ๆ ที่โรงเรียนประจำส่วนมากก็จะมี
เด็กอยู่ ๒ ประเภทด้วยกันไม่เฮี้ยวสุดโต่ง ก็จะเป็นเด็กที่เรียบร้อย
ผมจะอยู่ในกลุ่มหลังซะมากกว่า (แอบชมตัวเอง...) เพื่อน ๆ ส่วน
มากก็จะมีแต่พวกผู้ชายด้วยกัน แอบหนีเรียนบ้าง แอบปีนหอบ้าง
ตามประสาเด็ก ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเกเรอะไรหรอกครับ
มากก็จะมีแต่พวกผู้ชายด้วยกัน แอบหนีเรียนบ้าง แอบปีนหอบ้าง
ตามประสาเด็ก ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเกเรอะไรหรอกครับ
ที่นี้พอจบชั้น ม.ต้น ก็ย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตอนนี้แหละ
เป็นโรงเรียนที่มีเพื่อนผู้หญิงเรียนด้วย แค่นึกตอนนั้นใจก็ตุ๊บ ๆ
แล้วครับ ด้วยความที่ไม่เคยเรียนกับผู้หญิงมาก่อนเลย
จำได้ว่าเปิดเทอมวันแรก ผมได้ไปสะดุดตากับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
เป็นเด็กน่ารักไว้ผมทรงบ๊อบนะตอนนั้น สะพายกระเป๋าสนูปปี้ พอ
เห็นครั้งแรกก็สะดุดตาเลย ได้แต่แอบมองไม่กล้าที่จะเข้าไปคุยด้วย
เห็นครั้งแรกก็สะดุดตาเลย ได้แต่แอบมองไม่กล้าที่จะเข้าไปคุยด้วย
อย่าว่าแต่เธอเลยครับ เพื่อนผู้หญิงในห้องผมยังไม่กล้าคุยด้วยสักคน
จนกระทั้งเรียนไปจนเกลือบหมดเทอมแรก มีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อนผู้หญิง
๒ คนในห้องเข้ามาทัก ว่า "กนก... ทำไมเธอถึงไม่มาคุยกับพวกเราเลย?"
คำนี้ ประโยคนี้ผมจำได้ขึ้นใจเลย เท่านั้นแหละพอได้ยินคำพูดนี้จบประโยค
เชื่่อมั่ยว่าผมอายจนหน้าแดงยังกะลูกแตงโมเลย จนเพื่อนผู้หญิง ๒ คนนั้น
เค้าจับได้ว่าผมอาย เพื่อน ๑ ในนั้น เอามือข้างหนึ่งปิดปากหัวเราะส่วนมือ
อีกข้างพับข้อศอก ทำไหล่ห่อแล้วเล่นชี้มาที่หน้าผม (เฮ้อออ... เป็นไปได้นะเรา)
อายมากจนตอนนั้นคิดอยากจะเป็นขอมดำดินซะงั้น
๒ คนในห้องเข้ามาทัก ว่า "กนก... ทำไมเธอถึงไม่มาคุยกับพวกเราเลย?"
คำนี้ ประโยคนี้ผมจำได้ขึ้นใจเลย เท่านั้นแหละพอได้ยินคำพูดนี้จบประโยค
เชื่่อมั่ยว่าผมอายจนหน้าแดงยังกะลูกแตงโมเลย จนเพื่อนผู้หญิง ๒ คนนั้น
เค้าจับได้ว่าผมอาย เพื่อน ๑ ในนั้น เอามือข้างหนึ่งปิดปากหัวเราะส่วนมือ
อีกข้างพับข้อศอก ทำไหล่ห่อแล้วเล่นชี้มาที่หน้าผม (เฮ้อออ... เป็นไปได้นะเรา)
อายมากจนตอนนั้นคิดอยากจะเป็นขอมดำดินซะงั้น
พอเข้าเทอมที่ ๒ ของปีแรกเพื่อนผู้ชายที่เราสนิทด้วยก็มีการ
จีบกันกับเพื่อนในห้อง ด้วยเหตุนี้มั่งจำไม่ได้ ทำให้ผมได้
เริ่มคุยกันเพื่อนผู้หญิง ๓-๔ คนที่ตลอดที่เรียนด้วนกัน
มา ๓ ปี แต่กับคนที่ผมแอบชอบเธออยู่ เชื่อมั่ยว่า
๓ ปีที่เราเรียนด้วยกันมาในห้องเดียวกันไม่
เคยคุยกันเลย ผมก็ไม่รู้ว่าเธอเคยเห็น
ผมหรือเปล่าในห้องเรียน หรือ
มองผมเหมือนเป็นเพียงธาตุ
อากาศ แต่แล้ววันหนึ่ง
เพื่อน ที่เราได้รู้จักมา
ทักเราผ่านช่องทาง
โซเชียลเน็ตเวิร์ค
ที่ เรียกว่า
เฟสบุ๊ค
อากาศ แต่แล้ววันหนึ่ง
เพื่อน ที่เราได้รู้จักมา
ทักเราผ่านช่องทาง
โซเชียลเน็ตเวิร์ค
ที่ เรียกว่า
เฟสบุ๊ค
วันหนึ่งเมื่อกลางเดือนเมษาปีที่แล้ว เพื่อนคนหนึง
ที่เฟสบุ๊คได้ขอแอดเข้ามาจำได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของ
คนที่เราแอบชอบเค้าพอรับแอดเสร็จ ก็เริ่มลังเลว่า
เราจะเข้าไปขอแอด คนที่เราแอบชอบเมื่อ ๒๐ ปี
ดีหรือเปล่าเน้อ ? แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขอแอดไป
ที่เฟสบุ๊คได้ขอแอดเข้ามาจำได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของ
คนที่เราแอบชอบเค้าพอรับแอดเสร็จ ก็เริ่มลังเลว่า
เราจะเข้าไปขอแอด คนที่เราแอบชอบเมื่อ ๒๐ ปี
ดีหรือเปล่าเน้อ ? แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขอแอดไป
ด้วยเหตุว่า หากเราไม่ทำอะไรเสียตอนนี้ ต่อไป
ผมคงหมดโอกาสที่จะได้รู้จักกับเธอ แล้วสุดท้าย
เธอก็รับที่จะแอดผม พอคนต่างรับแอดกันเสร็จ
เราก็พูดคุยกัน อย่างสนิทสนมเหมือนได้ทดแทน
ช่วงเวลาที่หายไป ๓ ปี ที่เราได้แต่คอยแอบมอง
ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น มากเสียจน รู้สึกว่าจะ
สนิทกว่าเพื่อนที่เคยคุยกันสมัยเรียนด้วยกันที่เดียว
สนิทกว่าเพื่อนที่เคยคุยกันสมัยเรียนด้วยกันที่เดียว
ขอบคุณนะเล็ก ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกัน ถึงแม้ว่า
อาจจะดูสายไปเสียหน่อย แต่ก็ยังดีกว่า ที่เราจะ
รู้จักกัน เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมห้อง ไม่ใช่หรือ....?
รู้จักกัน เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมห้อง ไม่ใช่หรือ....?
ปล.บล๊อกนี้ไม่กล้าโฟส์ตในบล๊อกที่เขียนประจำ เพราะเธอตามอ่านบล๊อกผมอยู่ครับ
ขอเก็บไว้ที่นี้ล่ะกัน
ขอเก็บไว้ที่นี้ล่ะกัน
บันทึก วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕